วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วีดีโอท่องเที่ยวเชียงใหม่


สถานที่ท่องเที่ยวเชียงใหม่




ศูนย์หัตกรรมร่มบ่อสร้าง




ประเพณียี่เป็ง




วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เวียงท่ากาน



       เวียงท่ากาน  คือ เมืองเก่าแก่ตั้งแต่ยุคสมัยหริภุญชัย ซึ่งปัจจุบัน ในบริเวณดังกล่าว มีโบราณสถานอายุเก่าแก่ตั้งอยู่มากมาย 

          ตั้งอยู่ในเขตท้องที่การปกครอง บ้านท่ากาน ตำบลบ้านกลาง อำเภอสันป่าตอง โดยตั้งอยู่ห่างจากเมืองเชียงใหม่ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 108 หรือ เส้นทางสายเชียงใหม่-ฮอด เป็นระยะทางประมาณ 34 กิโลเมตร  การเดินทางโดยรถยนต์จากตัวเมืองเชียงใหม่ สามารถมาตามเส้นทางหลวงหมายเลข 108 หรือ เส้นทางสายเชียงใหม่-ฮอด โดยผ่านอำเภอสันป่าตอง  หลังจากนั้นให้เลี้ยวซ้ายตรงแยกเข้าบ้านท่ากานบริเวณปากทางบ้านทุ้งเสี้ยวและเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร   โดยจะผ่านพื้นที่บ้านต้นกอกสภา  ส่วนรูปแบบการเดินทางอีกทางเลือกหนึ่ง คือ การเดินทางโดยสารรถประจำทางสายโรงวัว-ท่าวังพร้าว ซึ่งคิวรถอยู่ข้างประตูเชียงใหม่

           เมื่อย้อนเวลากลับไปในยุคสมัยหริภุญชัย เวียงท่ากานถือเป็นเมืองที่สำคัญแห่งหนึ่งในสมัยนั้น นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เมืองนี้คงจะเริ่มสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 ในยุคสมัยพระเจ้าอาทิตยราชกษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นหริภุญชัยสืบต่อมาจนถึงสมัยพญามังรายช่วงก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่ 
          ปัจจุบัน ซากโบราณสถานที่สำคัญ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณกลางเมืองในเขตโรงเรียนวัดท่ากานและวัดต้นกอก เช่น พระเจดีย์และฐานวิหารที่ก่อด้วยอิฐ หินและศิลาแลง  ในส่วนโบราณวัตถุที่พบ ได้แก่ พระพุทธรูปหินทราย พระพุทธรูปดินเผา พระพิมพ์จำนวนมาก ไหเคลือบสีน้ำตาลบรรจุกระดูก และเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หยวน (พ.ศ.1823-1911)   นอกจากนี้ยังค้นพบซากวัด สถูปเจดีย์ เศษอิฐ และกระเบื้องดินเผา อีกด้วย 

          ที่เวียงท่ากานนี้ มีบริการรถพาชมภายในบริเวณ  พร้อมด้วยมัคคุเทศก์ชำนาญการที่คอยบรรยายให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยว   ดังนั้น เวียงท่ากานถือเป็นแหล่งความรู้ด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่งที่น่าสนใจของจังหวัดเชียงใหม่และยินดีเปิดต้อนรับให้นักท่องเที่ยวได้เปิดประสบการณ์เรียนรู้และเยี่ยมชมเมืองโบราณแห่งนี้ อาจกล่าวได้ว่า โบราณสถานเวียงท่ากาน คือ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และอนุสาวรีย์ที่สำคัญของประเทศไทยที่ควรค่าแก่การมาเยือนสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/เวียงท่ากาน--150

เวียงกุมกาม


         เวียงกุมกาม คือ เมืองโบราณที่มีอายุกว่า 727 ปี ปัจจุบันบริเวณเวียงกุมกามมีโบราณสถานมากมาย  เวียงกุมกามตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเชียงใหม่ ประมาณกิโลเมตรที่ 3-4  ถนนเชียงใหม่-ลำพูน อยู่ในเขตตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่  และอยู่ใกล้ฝั่งด้านทิศตะวันออกของแม่น้ำปิง การเดินทางสามารถมาเข้าทางตู้ยามหนองหอยและตรงมาจนทะลุแยกเกาะกลางป่ากล้วยตรงต่อไปจนถึงตู้ยามเจดีย์เหลี่ยม  

ความเป็นมาของเวียงกุมกาม
             ย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งที่พ่อขุนเม็งรายทรงโปรดเกล้าฯให้สร้างเมืองขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1829 โดยให้ขุดคูเวียงทั้ง 4 ด้าน เพื่อไขน้ำแม่ปิงให้ขังไว้ในคูเวียง จากการสำรวจพบว่ามีโบราณสถานที่ปรากฎอยู่ในเวียงกุมกาม และพื้นที่ใกล้เคียง ถึง 20 แห่ง ทั้งที่เป็นซากโบราณสถาน และเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่ แต่ละแห่งอยู่กระจัดกระจายกันภายในเวียงเก่าแห่งนี้ ซึ่งล้วนแต่สร้างในช่วงประมาณปีพุทธศตวรรษที่ 21-22  
           ชาวบ้านในท้องถิ่นมีจัดบริการรถราง และรถม้า เพื่อพานักท่องเที่ยวชมโบราณสถานเวียงกุมกามที่สำคัญ จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ วัดเจดีย์เหลี่ยม วัดธาตุน้อย วัดช้างค้ำ วัดธาตุขาว วัดพญามังราย วัดพระเจ้าองค์ดำ กู่ป้าด้อม วัดปู่เปี้ย วัดหนานช้าง และวัดอีก้าง ใช้ระยะเวลานำชมประมาณ 45 นาที 
  • ค่าบริการรถม้า 250 บาท 
  • รถรางคนละ 15 บาท
  • เหมาคันประมาณ 400 บาท

รับจัดกิจกรรมเลี้ยงขันโตกและสาธิตภูมิปัญญาพื้นบ้านบริเวณเวียงกุมกาม
สอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 08 6193 5049,

      นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเวียงกุมกามให้เป็นแหล่งวัฒนธรรมเพื่อชุมชนและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน โดยมีการจัดกิจกรรมการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม ถนนคนเดิน และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม ทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-22.00 น. โดยนักท่องเที่ยวสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ข้อมูลเวียงกุมกาม หมายเลขโทรศัพท์ 0 5327 7322


ที่มา: http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/เวียงกุมกาม--132

แก่งกื้ด


     แก่งกื้ด สถานที่ท่องเที่ยวกิจกรรมทางน้ำแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่นิยมมากสำหรับชาวต่างชาติกับการมาล่องแก่งเรือยางกันที่นี่ สถานที่และบรรยากาศรอบๆห้อมล้อมด้วยธรรมชาติสวยงามมากๆแก่งกื้ด สถานที่ท่องเที่ยวกิจกรรมทางน้ำแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่นิยมมากสำหรับชาวต่างชาติกับการมาล่องแก่งเรือยางกันที่นี่ สถานที่และบรรยากาศรอบๆห้อมล้อมด้วยธรรมชาติสวยงามมากๆ เป็นสถานที่มีผู้คนแวะเวียนมาไม่ขาดสาย โดยเฉพาะหน้าร้อนคนจะมากเป็นพิเศษเพื่อแวะมาพักผ่อนและเล่นน้ำ และช่วงหน้าฝนที่กระแสน้ำจะค่อนข้างแรงเหมาะแก่การล่องแก่ง และหลังจากกระแสน้ำหลากหมดไปก็จะมีแพไม้เข้ามาเพิ่มความสนุกของลำน้ำแห่งน้ำ แก่งกื้ด

กิจกรรม
  • ล่องเรือยาง
  • ขี่ช้าง
  • ปั่นจักรยาน
  • โฮมสเตย์  

การเดินทางไปเที่ยวแก่งกื้ด
       การเดินทางไปเที่ยวที่ แก่งกื้ด อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางอำเภอแม่ริมมุ่งหน้าขึ้นเหนือโดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร จะเจอสามแยกไปอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เลี้ยงซ้ายเข้าไป ใช้เส้นทางหลวงหมายเลย 1095 ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร จะเจอสามแยกไฟแดง ผ่านสามแยกไฟแดงไปชิดขวาแล้วกลับรถแล้วชิดซ้ายมองดูทางเข้าไปทางด้านซ้าย มีป้ายองค์การบริหารส่วนตำบลกื้ดช้าง เป็นจุดสังเกตุ เดินทางเข้าไปทาง ตำบลกื้ดช้าง อีกสักสักประมาณ 20 กว่ากิโลเมตรก็ถึงที่หมาย ใช้เวลาเดินทางจากเมืองเชียงใหม่มาถึงที่นี่ แก่งกื้ด ใช้เวลาสักประมาณ 1 ชั่วโมง


ที่มา : http://www.cm-mots.com/travel/view/1362539062.html

ร่มบ่อสร้าง


   ร่มบ่อสร้าง เป็นสินค้าที่สร้างชื่อเสียงให้แก่จังหวัดเชียงใหม่มาช้านานหลายชั่วอายุคนแล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ เดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ส่วนใหญ่จะต้องแบ่งเวลาแวะเวียนไปที่อำเภอสันกำแพง เพื่อชมและเลือกซื้อร่มบ่อสร้าง ที่บ้านบ่อสร้างเป็นที่ระลึกติดมือกลับมา
     ใครที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ก็น่าจะลองแวะไปที่บ่อสร้างเพื่อ ชมขั้นตอนการผลิตร่ม และความสวยงามของร่มบ่อสร้างที่ได้รับการสืบทอดต่อๆกันมาจนมีอายุเป็นร้อยปี

    เป็นสินค้าพื้นเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สาเหตุที่เรียกว่าร่มบ่อสร้าง เพราะร่มนี้ผลิตกันที่บ้านบ่อสร้าง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ สามารถไปจากตัวเมืองเชียงใหม่ตามถนนสายเชียงใหม่-สันกำแพง 9 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านบ่อสร้าง 

สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
  •  www.onchiangmai.com 
  • โทร.081 9986000 

การเดินทาง
  1. รถยนต์ส่วนตัว
          จากตัวเมืองเชียงใหม่ตามถนนสายเชียงใหม่-สันกำแพง 9 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายมือเข้าบ้านบ่อสร้าง
  2. รถโดยสารสารธารณะ
        นั่งรถสองแถวสายเชียงใหม่-สันกำแพง คิวรถอยู่ที่ประตูช้างเผือกนั่งไปจนถึงทางแยกจะเห็นป้ายใหญ่ตรงแยก เขียนว่า "ศูนย์ทำร่มบ่อสร้าง" ให้ลงตรงทางแยกแล้วเดินข้ามฝั่งไปยังอาคารศูนย์ทำร่ม หากไม่ทราบถามชาวบ้าน ที่อยู่ในบริเวณนั่นได้



ที่มา: http://www.cm-mots.com/travel/view/1354504494.html

ตลาดวโรรส(กาดหลวง)


        ตลาดวโรรส (กาดหลวง) เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นตลาดเก่าแก่ที่มีประวัติอันยาวนานมานับร้อยปี มีบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ขายของมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้ารองเท้า นาฬิกา กิ๊ฟช็อป สินค้าสวยงาม

ประวัติตลาดวโรรส
       ตลาดโวรรสแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานมาก เดิมทีที่ตั้งปัจจุบันแห่งนี้เป็นที่ข่วงเมรุ หรือที่ปลงพระศพและเป็นที่เก็บพระอัฐิของเจ้าเชียงใหม่หลายพระองค์ หลังจากที่พระชายาเจ้าดารารัศมีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ มีพระราชดำริให้ย้ายพระอัฐิไปไว้ที่วัดสวนดอก และได้รวบรวมเงินส่วนพระองค์และเงินจากเจ้าอินทวโรรสฯ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในสมัยนั้น มาสร้างตลาดขึ้นในบริเวณข่วงเมรุนี้ และได้พระราชทานชื่อว่า “ตลาดวโรรส” ตามพระนามของเจ้าอินทวโรรส ชาวบ้านจึงเรียกกันต่อๆ มาในชื่อ “กาดหลวง” ซึ่งนอกจากจะหมายความถึงตลาดใหญ่แล้ว ก็อาจจะหมายถึงตลาดของเจ้าหลวงด้วย

      ตลาดวโรรส จัดเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่งของเชียงใหม่ เป็นแหล่งรวมสินค้าต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวมักจะมาหาซื้อของฝากกัน โดยเฉพาะสินค้าอาหารพื้นเมืองขึ้นชื่อจำพวกไส้อั่ว แหนม น้ำพริกหนุ่ม แคปหมู ผลิตภัณฑ์ผัก ผลไม้แปรรูป นอกจากนี้ยังมีแหล่งรวมอาหารพื้นเมืองราคาถูกอีกมากมาย

การเดินทางโดยรถประจำทาง    
  • รถสองแถวแดง ซึ่งเป็นรถรับจ้างไม่ประจำทาง สามารถโบกเรียกรถได้จากทุกที่ในเมืองเชียงใหม่  
  • รถตุ๊กตุ๊ก ราคาแล้วแต่ต่อรอง

           สถานที่ตั้ง ต. ช้างม่อย อ. เมือง จ. เชียงใหม่ ทิศเหนือติดถนนช้างม่อย ทิศใต้ติดตรอกเล่าโจ๊ว ทิศตะวันออกติดถนนวิชยานนท์ และ ทิศตะวันตกติดถนนข่วงเมรุที่นี่

ที่มา : http://www.cm-mots.com/travel/view/1354520843.html

เชียงใหม่ไนท์บาซาร์


       เชียงใหม่ไนท์บาซาร์ (Chiang Mai Night Bazaar) เป็นแหล่งรวมสินค้าแหล่งใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่และมีมานานหลายสิบปีแล้ว สินค้าที่นำมาจำหน่ายส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ระลึกและงานหัตถกรรมต่างๆ เช่น เครื่องประดับ เงิน ร่ม เครื่องปั้นดินเผา รวมสินค้าชาติพันธุ์ต่าง ๆ


    เป็นแหล่งรวมสินค้าแหล่งใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่และมีมานานหลายสิบปีแล้ว สินค้าที่นำมาจำหน่ายส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ระลึกและงานหัตถกรรมต่างๆ เช่น เครื่องประดับ เงิน ร่ม เครื่องปั้นดินเผา รวมสินค้าชาติพันธุ์ต่าง ๆ


         แหล่งช็อปปิ้งขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่บริเวณถนนช้างคลาน ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จะมาเที่ยวและซื้อของกันที่นี่ รวมไปถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไนท์บาซ่า นอกจากจะขายของจำพวกของชำร่วย ของฝาก แล้วที่นี่ยังเป็นแหล่งที่กินของนักท่องเที่ยวเพราะว่าที่นี่จะมีร้านอาหารเปิดให้บริการอยู่เป็นจำนวนมากไนท์บาซ่าร์จะเปิดเวลาเย็นๆ ไปจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ แต่บางร้านก็จะเปิดตอนกลางวันด้วย 



ที่มา :http://www.cm-mots.com/travel/view/1354610796.html

ถนนนิมมานเหมินทร์


      ถนนนิมมานเหมินทร์ ตั้งอยู่ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ หากจะเปรียบแล้ว ถนนนิมมานเหมินทร์ก็คงคล้ายกับถนนสุขุมวิทของกรุงเทพฯ แม้ความยาวและขนาดของธุรกิจจะสู้กันไม่ได้ แต่เปอร์เซ็นต์ความหรูหราของถนนและร้านค้ามีระดับที่มีอยู่มากก็มิได้ต่างกันเลย เมื่อใครสักคนมาเยือนเชียงใหม่ หากว่าไม่ได้มาเดินช้อปปิ้งบนถนนเส้นนี้ ก็เหมือนว่าจะขาดอะไรไปสักอย่างที่จะทำให้การท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ไม่สมบูรณ์ ถนนสายนี้เป็นทั้งถนนสายการค้า และถนนสายบันเทิง รวมถึงบรรยากาศที่หลากหลาย จากอดีตกว่า 50 ปีจนถึงปัจจุบันถนนนิมมานเหมินทร์ได้เจริญเติบโตเป็นย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นแหล่งรวมของสินค้าและบริการ รวมถึงร้านอาหาร เครื่องดื่ม และบรรยากาศดีๆ โดยเฉพาะ
  • ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย1 ที่เปรียบเสมือนตัวแทน ของถนนนิมมานเหมินทร์ทั้งสาย ที่ยังคงเอกลักษณ์ของผู้คนและศิลปวัฒนธรรมของชาวล้านนาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เนื่องจากเต็มไปด้วยร้านระดับเกรดเอ ที่มีการตกแต่งเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นแกลลอรี่ อาทิ ร้านกองดีแกลลอรี่ หรือร้านขายของตกแต่งบ้านที่มีสินค้าหลากหลายประเภทมากที่สุดของเชียงใหม่ อาทิ ร้านไม้มุงเงิน สุริยันจันทรา ร้านจำหน่ายเทียนหอมอย่างร้านแมวใจดี ไปจนถึงร้านผ้าฝ้ายทอมือที่มีเนื้องานเต็มไปด้วยชีวิตชีวาราคาตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงหลักหลายหมื่น

  • ถนนนิมมานเหมินทร์ ซอย 9 ถนนสายกาแฟ ซอยนี้และโดยรอบจะเต็มไปด้วยร้านกาแฟชื่อดังทั้งในท้องถิ่น ในประเทศ และต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟวาวี ร้าน 94 คอฟฟี่ ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ด้านหน้าซอยมี ร้านแบล็คแคนยอน ร้านมนต์นมสด ร้านโตและสด เลยไปหน่อยจะมีร้านกาแฟดอยช้าง maze cafe' คาเฟ่ดอยตุง มีทั้งเด็กวัยรุ่น นักศึกษา คนทำงาน นักท่องเที่ยวทั้งคนไทย ต่างชาติ ที่อาศัยร้านกาแฟในการนัดหมาย เล่นอินเทอร์เน็ต พูดคุย พักผ่อน อ่านหนังสือ ชิมกาแฟหลากหลายรส โดยเฉพาะคนรักกาแฟที่มีโอกาสเลือกร้านกาแฟได้หลากหลาย
      
  • ถนนสาย เบเกอรี่ & ไอศครีม มีร้านไอศครีมอร่อยๆให้เลือกมามาย เช่น ร้านMont Blanc มองบลังค์ เจ้าของร้านไปเรียนทำขนมไกลถึงญี่ปุ่น มีวิธีการทำและรสชาติเป็นสไตล์ญี่ปุ่น นอกจากเบเกอรี่แล้วยังมีไอศกรีมโฮมเมดให้เลือกอีกหลายรส หรือจะเป็นร้านไอศกรีมกดกริ่ง ร้าน Home Fresh Ice-cream ที่นิมมานเหมินทร์ซอย 5 คุณก็จะได้ลิ้มลองรสหวานมันของไอศกรีมแสนอร่อยราคากันเอง นอกจากนี้ยังมีร้าน Mars ร้าน Ice Monster ร้าน  iberry ร้านไอติมของโน๊ต อุดม แต้พานิช เป็นต้น
  • ส่วนเสือผ้า & เครื่องประดับ ถนนนิมมานเหมินทร์มีร้านเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ทันสมัยให้เลือกมากมาย เช่น MiWa เป็นร้านที่จำหน่ายกระเป๋ารองเท้าที่ Import มาจากเกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา หรือในซอยนิมมานเหมินทร์ ซอย 13 หรือร้านMignone ที่อยู่ในโครงการ JIRA&WASA สาวๆคนไหนชอบแฟชั่นใหม่ๆ ก็แวะไปดูได้เลย นอกจากนี้ ยังมีอีกมากมายหลายร้าน 


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ถนนนิมมานเหมินทร์--3931

ถนนคนเดินเชียงใหม่


         ถนนคนเดิน ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เทศบาลเชียงใหม่ จะปิดถนนส่วนหนึ่งในเชียงใหม่ เพื่อให้ชาวบ้านนำสินค้าหัตถกรรมมาวางขาย ถนนคนเดินที่นี่ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวชาวไทยจากทุกภาคและชาวต่างประเทศหลากหลายภาษาทั้งยุโรป เอเชีย ถนนคนเดินที่เชียงใหม่มี 4แห่งด้วยกันคือ
  1. ถนนคนเดินวัวลาย 
         อยู่ที่ถนนวัวลาย ใกล้กับประตูเมืองเชียงใหม่ เปิดเฉพาะวันเสาร์ เวลาประมาณ 17.00 - 22.00 น. พ่อค้าแม่ค้าเป็นคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในบริเวณถนนวัวลายเป็นส่วนใหญ่ จึงมีขนาดเล็กกว่าถนนคนเดินท่าแพ เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านทำเครื่องเงิน ซึ่งทั้งผลิตและจำหน่ายสินค้าจำพวกเครื่องเงิน นอกจากนี้ยังมีสินค้าพื้นเมืองมากมายให้เลือกสรร
  2. ถนนคนเดินท่าแพ 
         อยู่บริเวณประตูเมืองท่าแพต่อไปยังถนนราชดำเนิน เปิดเฉพาะวันอาทิตย์ เวลาประมาณ 17.00 - 22.00 น. เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าขนาดใหญ่ มีสินค้าให้เลือกสรรมากมายหลากหลายประเภท ทั้งสินค้าทางวัฒนธรรม เช่น สินค้าพื้นเมือง จำพวกเครื่องประดับตกแต่ง เสื้อผ้า ของที่ระลึก กระเป๋า ผ้าพันคอ โคมไฟ ฯลฯ หรือจะเป็นสินค้าแฟชั่นก็มีให้เห็นอยู่โดยทั่วไป รวมทั้งของกิน เช่น ขนมจีนน้ำเงี้ยว/น้ำยา ของทานเล่น โรตี ฯลฯ หากมาเยือนในช่วงอากาศหนาว ๆ เดินเที่ยวกาดกลางคืน ถนนคนเดินเชียงใหม่ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบหนึ่ง ซึ่งที่นี่เป็นถนนคนเดินที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่และได้รับความสนใจอย่างมากจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
  3. กาดต้อนกอง
           มีทุกวันเสาร์ช่วงเช้า ณ ชุมชนสันทรายต้นกอก ตำบลฟ้าฮ่าม มีสินค้าพื้นเมือง อาหารพื้นเมือง ผักปลอดสารพิษ ไม้ดอกไม้ประดับให้เลือกซื้อหากันได้ นอกจากนี้สามารถชมสาธิตวิธีการเลี้ยงนกกระทา และการแสดงทางวัฒนธรรมของชุมชน โดยเยาวชนท้องถิ่น กลุ่มเกษตรกร เช่น การปลูกผัก กลุ่มหัตถกรรมพื้นบ้าน เช่น กลองโบราณและ การล่องเรือชมวิถีชีวิตริมแม่น้ำปิงได้อีกด้วย
  4. ถนนคนเดินสายหัตถกรรมสันกำแพง
       เลือกชม เลือกซื้อสินค้าหัตถกรรมของกินของฝาก ของที่ระลึก และรับชมการแสดงดนตรีโบราณของสันกำแพง ทุกวันเสาร์เวลา 15.00-22.00 น. ถนนคนเดินยางเนิ้ง อำเภอสารภี บริเวณถนนสายต้นยาง เส้นทางเชื่อมลำพูนเชียงใหม่ จัดขึ้นทุกวันเสาร์เวลาประมาณ 17.00 น. เป็นต้นไป จำหน่ายสินค้าการเกษตร อาทิ ผักปลอดสารพิษ ผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ประเภทเซรามิก เครื่องจักสาน เครื่องปั้นดินเผา ตลอดจนเสื้อผ้าสำเร็จรูป ขนม และเครื่องใช้ในครัวเรือน ถนนคนเดินสายนี้ได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและผู้สูงอายุ มีการจัดทางลาดและทางเดินเชื่อมส่วนใหญ่ราบเสมอกันทำให้คนที่ใช้ Wheel Chair สามารถเข้าถึงได้โดยตลอดอีกด้วย


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ถนนคนเดินเชียงใหม่--3930

ฟาร์มงูแม่สา


       ฟาร์มงูแม่สา ตั้งอยู่ที่เส้นทางสายแม่ริม - สะเมิง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นฟาร์มงูที่ใหญ่ที่สุดของภาคเหนือและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ให้ทั้งความสนุกสนาน อีกทั้งยังให้ความรู้ซึ่งมีงูหลากหลายพันธุ์ จากหลาย ๆ ภูมิภาคของประเทศ รวมไว้ให้ได้ศึกษา มีทั้งชนิดที่มีพิษและไม่มีพิษ ซึ่งบางชนิดใกล้จะสูญพันธุ์ นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมงูที่อยู่ในกรงและบ่อต่างๆได้เพราะมีจำนวนไม่มาก แต่อาจมีโอกาสพบเห็นงูจงอาง หรืองูเห่าที่ทางฟาร์มตั้งใจจับขึ้นมาวางไว้บนบ่อเพื่อทำให้นักท่องเที่ยวตกใจ ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมการแสดงของหมองูที่มีความเชี่ยวชาญในการจับงูและเรียนรู้ถึงอุปนิสัยของงูแต่ละชนิดได้เป็นอย่างดี ซึ่งการแสดงมีทั้งหมด 4 ชุด ได้แก่
  • โชว์งูเห่า (Cobra Show) เป็นการเล่นกับงูเห่าที่ดุร้าย หวาดเสียวไปกับการโชว์จูบงู และรีดพิษงูให้ดูกันสดๆ
  • โชว์งูสิงห์ (Rat Snake Show) เป็นโชว์ที่เล่นกับงูสิงห์ (ไม่มีพิษ) ที่คล่องแคล่วว่องไว เน้นการหลบหลีกและจับงูสิงห์พร้อมๆกันสามตัว
  • โชว์งูทางมะพร้าว (Jumping Snake Show) เป็นโชว์งูไม่มีพิษอีกโชว์ที่มีลักษณะการจู่โจมพุ่งโจมตีได้ไกล ชมการแสดงที่สั่งให้งูทางมะพร้าวหลับและตื่นได้
  • โชว์งูเหลือม (Phyton Show) เป็นโชว์ที่หมองูต้องไปปล้ำกับงูเหลือมในน้ำ ซึ่งงูที่อยู่ในน้ำจะมีการเคลื่อนไหวที่อิสระและรวดเร็วกว่า เป็นโชว์ที่เน้นความตื่นเต้นซึ่งจะลงเอยด้วยการที่หมองูสามารถจับงูได้ขณะที่งูเหลือมกำลังรัดอยู่ที่คอของหมองู  
     การเข้าชมการแสดงมีตลอดทั้งวัน ไม่ได้มีรอบตายตัว ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยว การแสดงต่อรอบต้องมี 5 คนขึ้นไป ฟาร์มงูแม่สา เปิดให้ได้เข้าชมการแสดงวันละ 3 รอบ คือ เวลา 11.30 , 14.15 และ 15.30 น. แต่ละรอบใช้เวลาแสดงประมาณ 30 นาที โดยจุดเด่นอยู่ที่การแสดงโชว์ปล้ำงูเหลือมในน้ำ ค่าผ่านประตู เด็ก 100 บาท ผู้ใหญ่ 200 บาท คนไทย 100 บาท ต่างชาติ 200 บาท  

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
  •     โทร 053- 860-719 
  •     เว็บไซต์ www.maerimtourist.com 


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ดอยอ่างขาง--6050

ปางช้างจังหวัดเชียงใหม่



     จังหวัดเชียงใหม่มีปางช้างอยู่หลายแห่ง มีกิจกรรมที่น่าสนใจคือ การอาบน้ำให้กับช้างในลำห้วยที่ช่วยสร้างความเพลิดเพลินและเป็นที่ชื่นชอบของช้าง จากนั้นจะได้ชมการใส่เครื่องลากจูงไว้บนหลังช้าง เพื่อจะได้เห็นวิธีการลากซุงออกมาจากป่าหลายๆวิธีด้วยกัน โดยเปิดแสดงให้ได้ชมทุกวัน 

รายละเอียดปางช้างต่างๆของจังหวัดเชียงใหม่ มีดังนี้ 
  • ท่าแพแม่ตะมาน อำเภอแม่ริม จากเชียงใหม่มาตามทางหลวง 107ประมาณ 43 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายประมาณ 7 กิโลเมตร โทร. 0 5329 7060
  • ปางช้างแม่แตง อำเภอแม่แตง เส้นทางเดียวกับท่าแพแม่ตะมานจากปากทางเข้ามา 9 กิโลเมตร ตรงข้ามวัดแม่ตะมาน โทร. 0 5384 4818
  • ศูนย์ฝึกช้างเชียงดาว อำเภอเชียงดาว ประมาณกิโลเมตรที่ 56 จากเชียงใหม่จะอยู่ทางขวามือ เป็นศูนย์ที่รับฝึกลูกช้างเพื่อใช้งานชักลากไม้จริง แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 60 บาท เด็ก 30 บาท ชมได้วันละ 2 รอบ คือ 09.00 น. และ 10.00 น. ทุกวัน โทร. 0 5329 8553
    , 0 5386 2037
  • ปางช้างแม่สา อำเภอแม่ริม กิโลเมตรที่ 10 มีการแสดงช้างและบริการนั่งช้าง เปิดทำการทุกวัน  ตั้งแต่เวลา 7.30 น.-14.30 น.  มีการแสดงวันละ 3 รอบ คือ 8.00 น. 9.40 น. และ 13.30 น. ตั้งอยู่บนเส้นทางแม่ริม-สะเมิง กิโลเมตรที่ 10 ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 120 บาท เด็กคนละ 80 บาท นอกจากนั้นยังมีหลักสูตรอบรมควาญช้าง และบริการที่พักให้แก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย โทร. 0 5320 6247 - 8, 08 9838 4242 โทรสาร 053206247 e-mail:  maesaele@loxinfo.co.th, www.maesaelephantcamp.com  
  • ปางช้างแอลลี่ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแม่ตะมาน อำเภอแม่แตง ที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้ใกล้ชิดกับช้างอย่างส่วนตัวที่สุดนั่นคือ เรียนรู้การเป็นควาญช้าง การฝึกขึ้นและลงหลังช้าง ก่อนจะนั่งช้างชมความสวยงดงามของธรรมชาติของหุบเขาแม่ตะมานและทัศนียภาพสองฝั่งน้ำแม่แตง  ได้รับประทานอาหารทั้งสามมื้อท่ามกลางธรรมชาติท่ามกลางฝูงช้าง ประสบการณ์ในการพาช้างไปอาบน้ำหรือจะเลือกชมวิธีการ มีกิจกรรมงานศิลปะร่วมกันกับช้าง เยี่ยมชมและได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ในบ้านของควาญช้าง นอกจากนี้ปางช้างแห่งนี้ได้มีการเตรียมสถานที่ที่สามารถรองรับการจัดงานวิวาห์หรืองานเลี้ยงสังสรรค์อีกด้วย สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08 1724 4211 หรือ e-mail: anchaleeele@gmail.com
  • ปางช้างโป่งแยง เขตอำเภอแม่ริมทางเดียวกับไปไร่กังสดาล (กิโลเมตรที่ 18) หรือฟาร์มช้างภัทร ตำบลบ้านโป่ง อำเภอหางดง ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มจำนวนช้างในประเทศไทย รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของช้าง ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ฝึกทดลองเป็นควาญช้าง ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตของช้าง การดูแลช้าง การอาบน้ำ การออกคำสั่ง นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมท่องเที่ยวขี่ช้างไปยังน้ำตก เข้าป่า และเที่ยวชมหมู่บ้านชาวเขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08 1992 2551, 08 1671 0958
    E-mail: pat_theerapat@hotmail.com, www.pataraelephantfarm.com
  • หน่วยป่าไม้แม่วิน โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 108 สายเชียงใหม่-ฮอด ประมาณ 23 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 1013 สายสันป่าตอง-บ่อแก้วถึง กิโลเมตรที่ 22  ตลอดแนวถนนจะมีบริการล่องแพและนั่งช้างประมาณห้าจุดเรียงรายให้เลือก ชมสวนป่า หมู่บ้านชาวม้ง บ้านกะเหรี่ยงตลอดทุกฤดูกาล  ได้ชมทิวทัศน์และความร่มรื่นของแม่น้ำวางซึ่งไหลเลียบเชิงเขาด้านที่ติดกับอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ สามารถเลือกโดยติดต่อกับเจ้าของแพได้เลย เช่น ท่าแพแม่วางลุงมี เขตอำเภอสันป่าตอง จากสามแยกสันป่าตองไปทางตำบลบ้านกาด ประมาณ 24 กิโลเมตร ที่นี่ให้บริการขี่ช้างชมธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำวาง และยังได้ชมน้ำตกแม่วาง ที่มีน้ำตลอดทั้งปีอีกด้วย สามารถเที่ยวชมได้ทุกวัน ตั้งแต่09.00 เป็นต้นไป


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ดอยอ่างขาง--6050

บ้านควายไทย


            ควายกับคน ผูกพันกันมาแต่โบราณ โดยเฉพาะวิถีชีวิตคนไทยในอดีต เราได้ใช้แรงงานควายเพื่อการเกษตร จนสามารถพูดได้ว่า ควายคือชีวิตของคนไทย คนไทยในอดีตยกย่อง ควาย ว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ โดยจะทำขวัญควายเมื่อสิ้นฤดูไถหว่านเพื่อแสดงความกตัญญูต่อควาย สมัยก่อนเราจะไม่ฆ่าควายเพื่อกินเนื้อ แต่จะเลี้ยงดูอยู่ด้วยกันจนกว่าจะแก่เฒ่า และตายตามอายุขัย   แต่ปัจจุบันหลายอย่างเปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาแทนที่ ทำให้คนมองคุณค่าของควายที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาตั้งแต่อดีตกาลนั้น ได้สูญหายลงไปอย่างน่าเสียดาย

        บ้านควายไทยจึงเป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องราว และรูปแบบวิถีชีวิตของคนในชนบท รูปแบบที่กำลังจะเลือนหายไป เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาด หากมีโอกาสได้เดินทางมาท่องเที่ยวเชียงใหม่ 
       บ้านควายไทยตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ บรรยากาศร่มรื่น ภายในจัดแสดงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวนาในภาคเหนือ และความสัมพันธ์ระหว่างคนกับควายผ่านการแสดงต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ
     สิ่งน่าสนใจภายในบ้านควายไทยคือ  การแสดงของควายและการดำเนินชีวิตของชาวนา มีการฝึกและการแสดงของควายในการทำงานต่างๆ เช่น หีบอ้อย ฉุดรหัสวิดน้ำ เป็นต้น สาธิตการขึ้นขี่หลังควาย และการแสดงดนตรีบนหลังควาย 

        จากนั้นจะมีการนำชมพื้นที่โดยรอบ ซึ่งจัดเป็นลานแสดงกลางแจ้ง มีการแสดงกลางแจ้ง มีการสาธิตการปลูกข้าว โดยแสดงขั้นตอนตั้งแต่ดำนา ไถนา หว่าน ฝัดข้าว นวดข้าว ตำข้าว จนกลายเป็นข้าวสารพร้อมหุง เดินชมบ้านจำลองของชาวนาไทย พาชมยุ้งข้าว และวิถีชีวิตของชาวนา ปิดท้ายด้วยการแข่งวิ่งควาย 

   นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมบรรยากาศภายในบ้านควายไทยได้ตลอดวันพร้อมเลือกซื้อสินค้าที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้าน  
  • เปิดทุกวัน เวลา 08.00-17.00 น. 
  • การแสดงวันละห้ารอบ เวลา 08.00, 09.00, 10.00, 14.00 และ 15.00 น. รอบละประมาณ 40 นาที
  • สำหรับค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท 
  • ขี่ควาย ราคาคนละ 80 บาท 
          ด้านหน้ามีร้านอาหารไทยพื้นเมือง และอาหารตามสั่ง กรณีที่ต้องการเข้าเยี่ยมชมเป็นหมู่คณะ ควรติดต่อล่วงหน้า 1 สัปดาห์ ที่ โทร .0-5330-1628


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/บ้านควายไทย--4024

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี


      เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ตั้งอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ในพื้นที่ตำบลแม่เหียะ  ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยดำเนินการภายใต้องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 
   การเดินทางถ้ามาจากเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนห้วยแก้ว ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 121 ไปอำเภอหางดง ประมาณ 10 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 

  โครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีประกอบด้วยส่วนแสดงสัตว์และส่วนที่พักรีสอร์ทส่วนแสดงสัตว์ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโครงการเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี แบ่งได้ 3 จุดย่อย ดังนี้
  • จุดแรก คือ Jaguar Trail  ซึ่งมีทะเลสาบ (Swan Lake) ขนาดระยะทาง 1.2 กม. ไว้ให้เดินพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย  ระหว่างทางจะพบกับสัตว์ป่ามากกว่า 400 ตัว หรือ 50 ชนิด อาทิเช่น เสือขาว เสือจากัวร์ หนูยักษ์คาปิลาลา เสือลายเมฆ สมเสร็จบราซิล ม้าแคระ ฮิปโปแคระ ลิงอุรังอุตัง เสือดำ  ฯลฯ
  • จุดที่สอง คือ Predator Prowl เป็นจุดแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กินเนื้อ ซึ่งเป็นสัตว์นักล่าที่มีความดุร้าย  ประมาณ 200 ตัว อาทิเช่น เสือโคร่งขาว เสือโคร่งอินโดจีน เสือโคร่งเบงกอล สิงโต หมาป่า   หมีควาย  เป็นต้น นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้โดยนั่งรถขนาด 60 ที่นั่งเป็นระยะทาง 2.13 กม.   
  • จุดที่สาม คือ Savanna Safari ส่วนแสดงสัตว์ป่าประเภทสัตว์กีบและสัตว์กินพืชที่มีถิ่นอาศัยในแถบทุ่งหญ้าสะวันนา ประมาณ 320 ตัว  อาทิเช่น เลียงผา กวางผา กระทิง แรดขาว ไฮยีน่า เสือชีต้า  ฯลฯ โดยระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะพบกับสถาปัตยกรรมจำลองเวียงกุมกาม ซึ่งสะท้อนถึงประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ และในพื้นที่ส่วนบริการจะเป็นหมู่บ้านล้านนา ซึ่งเป็นอาคารที่มีสถาปัตยกรรมก่อสร้างที่ผสมผสานระหว่างแอฟริกาและไทยล้านนา ประกอบด้วย ศูนย์อาหาร ศูนย์รวมสินค้า  ของที่ระลึก และเป็นสถานีรับ-ส่งนักท่องเที่ยวไปยังส่วนแสดงสัตว์ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังได้เพลิดเพลินกับลานน้ำพุดนตรี (Fun Plaza) บริเวณด้านข้างของอาคารอีกด้วย

      ในส่วนของอัตราค่าเข้าชม ค่าตั๋วช่วงเวลาเวลากลางวันจะถูกกว่าช่วงเวลากลางคืน โดยช่วงกลางวัน ค่าเข้าชมของคนไทย ผู้ใหญ่อยู่ที่ 50บาท และเด็ก 25บาท  ในขณะที่ ช่วงกลางคืนค่าเข้าชมของคนไทย ผู้ใหญ่อยู่ที่ 250 บาท และเด็ก 125  บาท

นักท่องเที่ยวที่สนใจ สามารถมาได้ตามเวลาเข้าชม ดังนี้  
  • จันทร์-ศุกร์ เวลา 13.00-16.00 น.เสาร์-อาทิตย์ 10.00-16.00 
  • ส่วนช่วงกลางคืน เวลา 18.00-24.00 น. เปิดทุกวัน  
  • อีกทั้งยังมีบริการบ้านพักและสถานที่ตั้งเต็นท์พักแรมสำหรับนักท่องเที่ยว 


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 05-399 -9079 หรือ เว็บไซต์ www.chiangmainightsafari.com


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/เชียงใหม่-ไนท์-ซาฟารี--1480

สวนสัตว์เชียงใหม่


              สวนสัตว์เชียงใหม่ ตั้งอยู่ ณ ถนนห้วยแก้ว ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 5 กิโลเมตร ใกล้กับสวนรุกขชาติ เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่มีสัตว์มากมายหลายชนิด ทั้งที่มีอยู่ในเมืองไทยและนำมาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก อาทิ หมีแพนด้า ซึ่งเป็นทูตสันถวไมตรีเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน และหมีโคอาล่าจากออสเตรเลีย เป็นต้น สวนสัตว์เชียงใหม่เองนั้นแบ่งโซนออกได้หลายแห่ง และมีกิจกรรมหลากหลายให้แก่ผู้มาเยือนที่สวนสัตว์ สถานที่ต่างๆ ในสวนสัตว์เชียงใหม่ อาทิ
  • เชียงใหม่ ซู อควาเรียม ศูนย์แสดงสัตว์น้ำมีอุโมงค์ยาว 133 เมตร สวนนกเพนกวินและสวนนกฟิ้นช์ ซึ่งเป็นนกขนาดเล็ก มีสีสันสวยงามจนได้รับการขนานนามว่าเป็น อัญมณีบินได้ มีรถไฟฟ้ารางเดี่ยวพร้อมระบบปรับอากาศ บริการรับผู้โดยสารได้ครั้งละ 50-70 คน/ เที่ยว ระยะทางวิ่ง 2 กิโลเมตร จอดรับส่งผู้โดยสาร 4 สถานี วันจันทร์ถึงวันศุกร์  เปิดเวลา 10.00-16.00 น. เวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดเวลา 09.00-16.30 น. อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 290 บาท เด็ก 190 บาท
  • สวนชมนกนครพิงค์ เป็นกรงนกขนาดใหญ่บนพื้นที่ 6 ไร่ ซึ่งถือเป็นสวนชมนกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนและประชาชนได้สัมผัสและเรียนรู้เรื่องราวทางธรรมชาติของนกกว่า 132 ชนิดจากทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่ร่มรื่นของน้ำตกกู่ขาว
  • Zoo kids Zone สวนสัตว์เด็ก ในสวนสัตว์เชียงใหม่ เป็นส่วนจัดแสดงที่รวบรวมสัตว์ที่น่ารักหลากหลายชนิดให้เด็กๆ ได้ศึกษาเรียนรู้ อีกทั้งยังมีกิจกรรมที่สนุกสนาน รอให้เด็กๆเข้ามาสัมผัสและร่วมกิจกรรมกับทางสวนสัตว์เชียงใหม่ Zoo kids Zone ได้มีการปรับปรุงและพัฒนาจากเดิมในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถานที่ เครื่องเล่นต่างๆ สื่อความรู้และรวมถึงกิจกรรมที่ได้จัดเตรียมไว้เพื่อให้เป็นสวนสัตว์เด็กที่สามารถสร้างจินตนาการและความรู้ให้เด็กๆ
  • ทัวร์ชมสัตว์ป่ายามค่ำคืน Twilight Zooโดยรถยนต์นำชมพฤติกรรมสัตว์ต่าง ๆ ที่ออกหากินยามกลางคืน พร้อมวิทยากรบรรยายให้ความรู้ ตั้งแต่เวลา 18.30-21.00 น. 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองทัวร์ได้ที่ 
      โทร. +66 5321 0374, +66 5322 1179, +66 5322 2283 
      หรือ www.chiangmaizoo.com


ที่มา : thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/สวนสัตว์เชียงใหม่--141

หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาเหมืองกุง


               หมู่บ้านเหมืองกุง มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่จากรุ่นสู่รุ่นเล่าว่าบรรพบุรุษของตนเองที่มาตั้งรกรากปักฐานอยู่ ณ หมู่บ้านเหมืองกุงแห่งนี้เป็นคนเผ่าไท ซึ่งถูกกวาดต้อนมาจากเมืองปุ เมืองสาด รัฐเชียงตุง ซึ่งหนีจากการถูกทหารพม่ารุกรานได้มาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ ปัจจุบันอยู่ในเขตรัฐฉานของประเทศพม่า โดยอพยพมาเพียง 6 ครัวเรือน ( ปัจจุบันที่เมืองปุ เมืองสาดยังคงมีชาวบ้านที่มีวิถีชีวิตแบบชาวบ้านเหมืองกุงยังคงมีอยู่ ) จากคำบอกเล่าดังกล่าวได้สอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรต่าง ๆ เช่นตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ พงศาวดารโยนกและข้อมูลจากป๊บกระดาษสาต่างๆ กล่าวถึงการเกณฑ์กำลังคนจากพม่าและสิบสองปันนามาสู่อาณาจักรล้านช้างหลายครั้ง ถึงยุคฟื้นฟูเชียงใหม่หลังจากที่ตกอยู่ในอำนาจพม่าเป็นเวลานานกว่า 2 ศตวรรษ ในปีระหว่าง พ.ศ. 2325 – 2356 สมัยพระเจ้ากาวิละแห่งต้นตระกูลเจ้าเจ็ดตนขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ บรรพบุรุษของบ้านเหมืองกุงได้ถูกกวาดต้อนมาให้ตั้งรกราก ณ ที่ปัจจุบันแห่งนี่ร่วม 200 กว่าปี โดยให้ทำนาเพื่อนำผลผลิตคือ ข้าวเปลือกส่งให้แก่เจ้ากาวิโรรสสุริยวงค์ ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้ากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ บริเวณที่นาของเจ้าเมืองจะอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านเหมืองกุง พอถึงฤดูเก็บเกี่ยว ชาวบ้านก็จะนำข้าวเปลือกบรรทุกล้อวัวเทียมเกวียนไปส่งที่คุ้มเจ้าเมืองในตัวเมืองเชียงใหม่ หมดจากฤดูทำนาจากอาชีพที่ติดตัวมาคือ ช่างปั้น เช่น น้ำต้น ( คนโฑ ) หม้อน้ำ สำหรับไว้ใส่น้ำดื่มน้ำใช้หรือขายเป็นรายได้จุนเจือครอบครัวและใช้ในพุทธศาสนพิธีเป็นสังฆทานถวายวัด เป็นวิถีชีวิตที่สืบต่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน

        หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่มีการทำเครื่องปั้นดินเผากันแทบทุกหลังคาเรือน ชาวบ้านที่นี่ยึดอาชีพการทำเครื่องปั้นดินเผาเป็นอาชีพหลัก  ถ้าเดินตามถนนคอนกรีตเล็กๆ ในหมู่บ้านจะพบเห็นหม้อดินเผาหลายชนิดหลายขนาด ทั้งแจกัน กระถางและอื่นๆ ตากเรียงรายอยู่กลางลานบ้าน นอกจากนั้นใต้ถุนบ้านยังมีผู้เฒ่าผู้แก่ต่างช่วยกันตกแต่งหม้อน้ำดินเผาอย่างขะมักเขม้น ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ หม้อน้ำที่มีปากแคบ ตรงกลางปล่อง ก้นสอบและมีฝาปิด บริเวณไหล่หม้อน้ำจะมีการแกะลวดลายอย่างสวยงาม (ข้อมูลจากการทำวิจัยของอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2527 – 2528) ปัจจุบันบ้านเหมืองกุงได้รับการจัดตั้งให้เป็นหมู่บ้านหัตถกรรม OTOP เพื่อการท่องเที่ยว เมื่อปี พ.ศ. 2538 ทำให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวตลอดจนมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาศึกษาดูงานอย่างต่อเนื่อง สัญลักษณ์ที่โดดเด่น มีคนโฑขนาดใหญ่ สูง 18 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 9 เมตร อยู่ทางแยกไป อ.สะเมิง


ที่มา : thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาเหมืองกุง--3953

หมู่บ้านทำเครื่องเงินศรีสุพรรณ


        หมู่บ้านเครื่องเงินวัวลาย ตั้งอยู่บริเวณของถนนคนเดินวัวลาย หมู่บ้านนี้ได้ประดิษฐ์เครื่องเงิน ซึ่งกลายเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่มีชื่อเสียงและมีคุณค่าของจังหวัดเชียงใหม่อย่างมาก โดยการทำเครื่องเงินเป็นทั้งงานช่างและงานศิลป์ที่จะต้องอาศัยความประณีตและความละเอียดอ่อน เพื่อผลงานที่ออกมาจะได้สวยและงดงามตามลวดลายต่างๆที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องเงินวัวลาย

          เครื่องเงินสวยๆพื้นบ้านจากเมืองเชียงใหม่ ที่สืบทอดจนถึงปัจจุบันที่มาของเครื่องเงินวัวลาย ของบ้านศรีสุพรรณ จังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏหลักฐานตั้งแต่ครั้งสมัยที่พญามังราย สร้างเมืองเชียงใหม่ และเจรจาขอช่างฝีมือจาก พุกาม มายังเมืองเชียงใหม่ เพื่อฝึกสอนให้กับชาวเมือง ทำให้เกิดงานหัตถกรรมเครื่องเงินพื้นบ้านสืบทอดต่อเนื่องกันมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำเครื่องเงินของช่างบ้านศรีสุพรรณ ที่มีความถนัดในการขึ้นรูปขันเงิน และสลักลวดลายบนขันเงิน จนได้รับการยกย่องให้เป็นช่างในคุ้มหลวงเมืองเชียงใหม่ในอดีต จากนั้นได้ถ่ายทอดให้ลูกหลานจนสามารถเป็นช่างฝีมือ และได้ขยายแหล่งที่ผลิตเครื่องเงิน ไปยังหมู่บ้านอื่น ๆ ในอดีตก่อนปี พ.ศ. 2500 ชาวบ้านวัวลายจะประกอบอาชีพ ทำนากันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อว่างเว้นจากการทำนาก็จะเป็นช่างฝีมือประกอบชีพทำเครื่องเงินตามที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษโดยจะใช้แรงงานของสมาชิกในครอบครัว และเกือบทุกบ้านจะมีโรงงานขนาดเล็กประจำอยู่ที่บ้าน เรียกว่า “เตาเส่า” สมาชิกในครอบครัว จะช่วยกันทำเครื่องเงินเพื่อใช้สอยในชีวิตประจำวัน และเพื่อการค้า โดยจะไปซื้อแร่เงินจากร้านคนจีนในตัวเมืองเชียงใหม่ จากนั้นจะนำแร่เงินมาตี-ขึ้นรูป ตามประเภทของผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะทำสลุง ขันล้างหน้า พาย ถาด โดยมากผู้ที่ทำหน้าที่เป็นช่างตีและขึ้นรูป จะใช้แรงงานชายได้แก่ พ่อ สามี ลูกชาย ส่วนผู้หญิงคือแม่ และลูกสาว จะรับหน้าที่เป็นช่างแกะลาย และนำเครื่องเงินไปขายที่ตลาด

               เมื่อมีค้าขายระหว่างคนต่างกลุ่ม จึงทำให้ความรู้ ภูมิปัญญาต่าง ๆ เกี่ยวกับรูปแบบของเครื่องเงิน เริ่มมีความหลากหลายขึ้น ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ทำนั้น เป็นเงินรูปีจากพม่า เงินหมัน เงินราง จากสิบสองปันนา เพราะหาได้ง่าย เครื่องเงินวัวลายนี้โบราณนิยมทำกันเพียงบางชนิด เช่น สลุง (ภาชนะอย่างขัน) พาน ถาด เชี่ยนหมาก เป็นต้น แต่ภายหลังที่รัฐบาลได้รณรงค์ให้ ข้าราชการ ประชาชน แต่งชุดไทย จึงได้มีการทำเป็นเครื่องประดับของสตรี เพิ่มขึ้นจากรูปแบบเดิม ในปัจจุบันนั้นเครื่องเงินวัวลายของเชียงใหม่มิได้ทำเพียงแค่ข้าวของเครื่องใช้ในครัว แต่ยังรวมไปถึงเครื่องประดับร่างกาย และเครื่องประดับอาคาร โดยจะเห็นได้จากสถาปัตยกรรมในเชียงใหม่บางแห่ง ที่ใช้เงินในการประดับหลังคา สถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ของเครื่องประดับเงินนั้นก็คือ วัดศรีสุพรรณ นั่นเอง


ที่มา : thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/หมู่บ้านทำเครื่องเงิน-ศรีสุพรรณ--3925

หมู่บ้านทอผ้าซิ่นตีนจก


    หมู่บ้านทอผ้าซิ่นตีนจก อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่แจ่มไปประมาณ 3 กิโลเมตร ตำบลท่าผา เป็นตำบลที่ชาวบ้านนิยมทอผ้าซิ่นตีนจกกันมาก ซึ่งทำกันถึง 150 ครอบครัว และแต่ละบ้านจะมีเครื่องทออยู่ใต้ถุนบ้าน ขณะนี้ผลิตภัณฑ์พื้นเมืองชนิดนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างสูง เพราะมีความสวยสดงดงามและลวดลายที่ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะราคาย่อมเยาเหมาะที่จะซื้อไว้เป็นที่ระลึก

  อำเภอแม่แจ่มถือได้ว่าเป็นชุมชนหนึ่งที่มีการทอผ้าซิ่นตีนจกกันมากที่สุด ผ้าทอของแม่แจ่มมีเอกลักษณ์ในการท่อหรือจกในลักษณะการคว่ำลาย ทำให้ลวดลายที่ได้สวยงาม ประณีตเฉพาะแบบไม่เหมือนใคร ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่มยังถือเป็นศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นล้านนาที่สืบทอดเป็นมรดกทางวิถีชีวิตและวัฒนธรรม การทอผ้าตีนจกถือได้ว่าเป็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นอย่างชัดเจนที่สุด นับตั้งแต่ที่ผู้หญิงแม่แจ่มเริ่มเรียนรู้วิธีการทอผ้าในวัยสาว จนกระทั่งถึงวัยแก่ชีวิตของพวกเขาก็ยังมีการทอผ้าอยู่เสมอ ที่เห็นได้ชัดเมื่อเวลามีงานบุญสำคัญต่าง ๆ ชาวแม่แจ่มก็จะนำผ้าตีนจกที่ทอเก็บไว้ออกมานุ่งกัน ผ้าตีนจกถือได้ว่าเป็นของสำคัญที่ลูกสะใภ้นำไปไหว้แม่สามีตอนแต่งงาน นอกจากนั้นผ้าตีนจกยังเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของผู้หญิงชาวแม่แจ่มตั้งแต่เกิดจนตาย
   ปัจจุบันเรายังสามารถพบเห็นสตรีชาวแม่แจ่มนิยมนุ่งซิ่นตีนจกในงานบุญประเพณีต่าง ๆ อยู่เสมอ กล่าวกันว่าสตรีชาวแม่แจ่ม จะต้องทอผ้าตีนจกอย่างน้อยคนละ 1 ผืนเป็นการคงเอกลักษณ์บ่งบอกถึงวิถีชีวิตและเป็นการการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป ปัจจุบันผ้าตีนจกแม่แจ่มได้รับการประกาศจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา ขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ อันสามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์นั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ

      การทอผ้าซิ่นตีนจกของชาวแม่แจ่ม ยังคงมีการสืบทอดกันมาจนถึงสมัยปัจจุบัน เราจะพบเห็นการทอผ้าตีนจกมากมายในหลายหมู่บ้าน ผ้าตีนจกโบราณที่ในอำเภอแม่แจ่มบางผืนมีอายุมากกว่า 100 ปีซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมทอด้วยไหม ปัจจุบันยังมีเหลือให้ชมและศึกษาอยู่ในเขตตำบลท่าผา ตำบลช่างเคิ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีการทอผ้าตีนจก


ที่มา : thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/หมู่บ้านทอผ้าซิ่นตีนจก--164

บ้านถวาย


         บ้านถวาย หมู่บ้านหัตถกรรมไม้แกะสลัก ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ขึ้นชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เป็นแหล่งกำเนิดของงานแกะสลักไม้ในจังหวัดเชียงใหม่ จนผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลักได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทั้งด้านคุณค่า และคุณภาพของสินค้า จุดรวมความหลากหลายของงานหัตถศิลป์ที่โดดเด่น เช่น งานแกะสลักไม้, งานเดินเส้น-แต่งลาย, งานลงรัก-ปิดทอง, เครื่องเงิน, เครื่องเขิน, ผ้าทอ, เครื่องจักรสาน และเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น

              บ้านถวายเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ตั้งมาประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว สาเหตุที่ชื่อบ้านถวาย ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าบ้านถวายแต่เดิมเป็นจุดถวายของให้แก่พระนางจามเทวีที่เสด็จผ่านจากนครลำพูน ซึ่งเดินทางมาทางเกวียนที่ผ่านมาทางบ้านถวายชาวบ้านเมื่อทราบข่าวว่าจะเสด็จจึงพากันตระเตรียมข้าวของ หรือบางครอบครับเตรียมเครื่องเงินถวาย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของชื่อ “บ้านถวาย” นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมหมู่บ้านแห่งนี้ จะได้พบกับ การสาธิตในทุกขั้นตอน ได้แก่การผลิตผลิตภัณฑ์จากไม้  การสาธิตลงรักปิดทอง  การแสดงศิลปะพื้นบ้าน  การแข่ง "สุดยอดสล่าไม้"  ชมขบวนแห่ลูกแก้วในพิธีบรรพชาสามเณรหมู่
               สำหรับศูนย์หัตถกรรมบ้านถวายสองฝั่งคลอง ตั้งอยู่บริเวณใจกลางหมู่บ้านถวายที่ถือว่าเป็นจุดกำเนิดของงานแกะสลักที่แท้จริง มีร้านค้าหัตถกรรมอยู่บริเวณสองข้างคลองชลประทาน มีการประดับตกแต่งพื้นที่ด้วยสถาปัตยกรรมล้านนา มีภูมิทัศน์ที่สวยงาม ภายใต้บรรยากาศวิถีชีวิตหมู่บ้านไม้แกะสลักบ้านถวาย จนผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลักได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันทั้งด้านคุณค่า และคุณภาพของสินค้า เป็นจุดรวมความหลากของงานด้านศิลปหัตถกรรม มีสินค้าหลายประเภทให้เลือกชม ไม่ว่าจะเป็นงานแกะสลักเป็นรูปสัตว์ รูปเทวดา รูปสัตว์ในป่าหิมพานต์ ตลอดจนของตกแต่งบ้านอีกมากมาย อันได้แก่  ดอกไม้, กรอบรูป, กรอบกระจก, โคมไฟ, ที่ใส่กระดาษทิชชูแบบต่าง ๆ รวมถึงแจกันดอกไม้หลายขนาด ตลอดจนเฟอร์นิเจอร์ไม้คุณภาพส่งออก และอื่น ๆ


ที่มา : thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/บ้านถวาย--3952

ชุมชนชาวม้งบ้านดอยปุย


        ชุมชนชาวม้งบ้านดอยปุย ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ระหว่างเขตติดต่ออำเภอแม่ริมและอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เดิมหมู่บ้านดอยปุยเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นของชุมชนชาวเขาเผ่าม้ง ในปี พ.ศ. 2490 ชุมชนยังตั้งรกรากอยู่ที่บ้านปางป่าคา ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาปี พ.ศ. 2496 – 2497 ทางการได้ส่งทหารเข้ามาปราบปรามยาเสพติดที่หมู่บ้างปางป่าคา
       เนื่องจากได้มีกลุ่มจีนฮ่อค้าฝิ่นได้เข้ามาอยู่ปะปนกับชาวบ้าน และเมื่อสิ้นสุดการปราบปราม หมู่บ้านปางป่าคาก็ได้ล่มสลายไปในที่สุด ชาวบ้านซึ่งได้รับผลกระทบ และได้อพยพชุมชนเข้ามาตั้งรกรากอยู่ ณ บ้านดอยปุยในปัจจุบัน

  ดอยปุยอยู่ในพื้นที่อากาศค่อนข้างเย็น พืชผลที่ออกมาจึงมีคุณภาพค่อนข้างจะสูง ทำให้พ่อค้าคนกลางอยากเดินทางมารับไปขายที่ในเมือง กอปรกับดอยปุยเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีวิถีชีวิตน่าสนใจจึงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาปรับเปลี่ยนให้หมู่บ้านธรรมดาแห่งนี้กลายเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุ-รักษ์ เมื่อชาวม้งมีรายได้มากขึ้น เด็กและผู้ใหญ่มีงานทำ การปลูกฝิ่นจึงค่อยๆ หายไป จนเหลือแค่แปลงทดลองขนาดย่อมแห่งนี้ที่ปลูกไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาวิธีการปลูกฝิ่น ชมพัฒนาการของต้นฝิ่นและดอกฝิ่นอย่างใกล้ชิด เมื่อสมัยก่อน ชาวบ้านดอยปุยเกือบทุกบ้านนิยมปลูกฝิ่นกันยาเสพติดเลยระบาดเร็วมาก พระเจ้าอยู่หัวจึงให้ทางการเข้ามาให้ความรู้ทางการเกษตรเปลี่ยนจากปลูกฝิ่นมาปลูกพืชสวนครัวขายแทน ตั้งแต่นั้นมาชาวเขาก็หันมาทำมาหากินแบบพอเพียง ปลูกผักขาย   เย็บรองเท้าขาย เย็บเสื้อผ้าขาย


ที่มา : http://www.somboontours.com/packcar.php?id=300

อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก


     อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก ตั้งอยู่ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับซับซ้อน มีความสูงตั้งแต่ 400-2,295 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีดอยสำคัญ ได้แก่ ดอยฟ้าห่มปก ดอยปู่หมื่น ดอยแหลม และดอยอ่างขาง อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปกเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่น่าสนใจ เพราะบนพื้นที่อุทยานกว่า 524 ตารางกิโลเมตรเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรป่าไม้ที่หลากหลาย ทั้งป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าสนเขา และป่าดิบเขา ที่นี่เป็นผืนป่าต้นน้ำของแม่น้ำฝาง และด้วยเหตุที่อาณาเขตติดต่อกับป่าในพม่า ที่นี่จึงชุกชุมด้วยสัตว์นานาชนิด ทั้งสัตว์ประจำถิ่นและสัตว์อพยพ

      ภายในอุทยานแห่งชาติมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นถ้ำห้วยบอน ภายในมีโถงถ้ำขนาดใหญ่ที่แต่งแต้มไปด้วยหินงอกหินย้อยสวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ
     น้ำตกโป่งดัง น้ำตกหินปูนขนาดเล็กที่มีเสน่ห์ไม่แพ้น้ำตกขนาดใหญ่ และมีถ้ำหินปูนเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อย หรือจะเป็นดอยฟ้าห่มปก ยอดดอยที่มีความสูงเป็นอันดับที่สองของเมืองไทย ด้วยความสูง 2,285 เมตรจากระดับน้ำทะเล จึงมีเมฆหมอกปกคลุมยอดดอยและมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี สำหรับนักดูนกและผีเสื้อ บนดอยฟ้าห่มปกมีนกและผีเสื้อที่น่าสนใจ เช่น นกปีกแพรสีม่วง นกปรอดหัวโขนก้นเหลือง ผีเสื้อมรกตผ้าห่มปกซึ่งพบได้ที่นี่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ในฤดูหนาว ที่นี่เป็นแหล่งอาศัยของนกอพยพหลายชนิด เช่น นกเดินดงคอแดง นกเดินดงดำปีกเทา นกเดินดงสีน้ำตาลแดง เป็นต้น
    โป่งน้ำร้อนฝาง เพราะนอกจากจะสวยน้ำ มีน้ำแร่ตลอดปีแล้ว ที่นี่ยังมีห้องบริการอาบน้ำแร่ทั้งห้องอาบน้ำและอบไอน้ำ รวมทั้งบ่ออาบน้ำร้อนกลางแจ้งให้นักท่องเที่ยวได้ผ่อนคลายกันอย่างเต็มที่

   
ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก--3936

น้ำพุร้อนสันกำแพง


          น้ำพุร้อนสันกำแพง เป็นน้ำพุร้อนที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ใน อ. สันกำแพง (เมื่อก่อนอยู่ใน อ.สันกำแพง ปัจจุบันอยู่ในกิ่งอำเภอแม่ออน แต่ชื่อยังคงเป็นน้ำพุร้อนสันกำแพง อยู่) ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่มากนัก นั่งรถไปประมาณ 1 ชั่วโมง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยภูเขา และต้นไม้ มีพื้นที่ทั้งหมด 75 ไร่ อยู่ในเขตของสหกรณ์การเกษตรสันกำแพง  ภายในน้ำพุสันร้อนกำแพง มีสวนดอกไม้ร่มรื่น มีบ่อให้แช่น้ำร้อน และแช่เท้า 

        การอาบน้ำแร่/น้ำพุร้อน.... มนุษย์หลายเชื้อชาติในโลกมีความเชื่อมานานแล้วว่า การอาบน้ำแร่ร้อนจากน้ำพุร้อนจะทำให้สุขภาพดีขึ้นสามารถรักษาและบรรเทาอาการบางอย่างที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ได้ ประโยชน์ของน้ำพุร้อนมีประโยชน์หลายด้านอาทิเช่น บรรเทาอาการปวดกระดูก ปวดกล้ามเเนื้อ ช่วยให้โลหิตในร่างกายหมุนเวียนได้ดีขึ้นและช่วยลดความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจช่วยขยายหลอดเลือดทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายดีขึ้น  ช่วยขับสิ่งอุดตันใต้ผิวหนังและรูขุมขนทำให้ผิวหนังสะอาดบำรุงผิวพรรณให้สดใส ช่วยในการดูดซึมแลกเปลี่ยนออกซิเจนและกลูโคสระหว่างเส้นเลือดฝอยและเนื้อเยื่อในส่วนต่างๆ ของร่างกาย



ที่มา : http://www.cm-mots.com/travel/view/1363748447.html

วนอุทยานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี



วนอุทยานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี
         เป็นน้ำแร่  ที่มีแคลเซียมคาร์บอเนต   พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วไหลเป็นลำธาร   รวมตัวกันเป็นน้ำตกขนาดเล็ก  มีพื้นดินที่ใต้ลำธารแข็งสีขาวเป็น  สามารถเดินไปตามหินและพื้นดินที่เป็นน้ำตกได้ไม่รื่นเหมือนน้ำตกอื่น ๆ  แต่ไม่แนะนำให้ปีนป่าย 

สถานที่ตั้ง
             ตั้งอยู่บริเวณแยกกิโลเมตรที่ 42 สายเชียงใหม่ – พร้าว ตำบลหอพระ  อำเภอแม่แตง   อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 8 ตำบลแม่หอพระ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่า แม่แตง บริเวณน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี มีสภาพป่าสมบูรณ์และร่มรื่น มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่นเป็นป่าดิบชื้นและป่าเบญจพรรณ ลักษณะทั่วไปเป็นพื้นที่ราบและหุบเขาคล้ายกับกะทะใกล้กับน้ำตก มีจุดชมวิวที่สวยงามและมีส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ราบสามารถจัดตั้งเป็นแคมป์ไฟ หรือ ลานจอดรถ สำหรับนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

       สถานที่ท่องเที่ยวของวนอุทยานน้ำตกบัวตอง-น้ำพุเจ็ดสีแบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือในส่วนของน้ำพุเจ็ดสี และ น้ำตกบัวตอง  มี 3 ชั้น
  • น้ำตกบัวตอง  ชั้นที่  1
        เมื่อมาถึงลานจอดรถของ วนอุทยานน้ำตกบัวตอง-น้ำพุเจ็ดสี เดินตรงเข้าไปก็จะพบกับน้ำตกบัวตอง ชั้นที่ 1 ซึ่งที่ตรงนี้จะมีน้ำใหลลงมาจากน้ำพุเจ็ดสี ใหลผ่านบริเวณลานชั้นที่ 1 เป็นน้ำตกขนาดเล็กก่อนจะใหลลงไปจากหน้าผากลายเป็นน้ำตกบัวตองชั้นที่ 2 บริเวณนี้คนค่อนข้างเยอะหน่อยเพราะไม่ต้องเดินขึ้นหรือเดินลงให้ต้อง เหนื่อย มีร้านค้าสวัสดิการให้บริการ และห้องน้ำ บริเวณชั้นนี้จะมีล้านกว้างเหมาะแก่การปูเสื่อนั่งเล่น
             เมื่อเดินผ่านน้ำตกบัวตองชั้นที่ 1 ขึ้นไปอีกประมาณ 150 เมตร จะพบกับน้ำพุเจ็ดสี มีลักษณะเป็นบ่อน้ำที่มีน้ำใหลออกมาจากพื้นดิน น้ำมีลักษณะใส สังเกตุดีๆ จะมีปลาตัวเล็กๆ แหวกว่ายอยู่ บริเวณนี้ไม่ค่อมมีคนนั่งเล่นมากนัก ส่วนมากจะเดินมาดูน้ำพุเจ็ดสีเฉยๆ แล้วก็เดินกลับไปนั่งเล่นที่น้ำตก บัวตองชั้นที่ 1
  • น้ำตกบัวตอง  ชั้นที่  2
    ชั้นที่สองนี้ต้องเดินด้วยเท้าลงไปอีกจากน้ำตกบัวตองชั้นที่ 1 ระทางเดินลงไปอีก ประมาณ 80 เมตร จะลาน มองผ่านต้นไม้ขึ้นไปจะเห็นน้ำตกใหลลงมาตามโขดหินสูงประมาณ 30 เมตร น้ำใหลผ่านหินที่ถูกปกคลุมด้วยหินปูนสีขาวลงมาเป็นละอองสีขาวสวยงามมากเลยที เดียว

  • น้ำตกบัวตอง  ชั้นที่  3
    ชั้นที่สองนี้ต้องเดินด้วยเท้าลงไปอีกจากน้ำตกบัวตองชั้นที่ 1 ระทางเดินลงไปอีก ประมาณ 150 เมตร มีลักษณะคลายๆ ชั้นที่สอง มีความสวยงามไม่แพ้กันเลย เป็นน้ำตก ก่อนจะใหลผ่านลงไปตามลำห้วย


ที่มา : http://www.cm-mots.com/travel/view/1350876002.html

น้ำตกแม่สา


    น้ำตกแม่สา เป็นน้ำตกที่สวยงาม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย มีน้ำไหลตลอดปี มีทั้งหมด 10 ชั้นแต่ละชั้นห่างกันประมาณ 100-500 เมตร มีระยะทางรวมเพียง 1 กม. โดยเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปตามถนนสายแม่ริม-สะเมิง ระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร น้ำตกแม่สา เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของ จ.เชียงใหม่ โดยชั้นที่สวยที่สุดคือชั้นที่ 5 ถึงชั้นที่ 7 สามารถเล่นน้ำได้แต่ต้องใช้ความระมัดระวัง เส้นทางการเข้าถึงน้ำตกแม่สามีความสะดวกสบาย ทางเดินระหว่างชั้นน้ำตกเป็นทางที่จัดการไว้อย่างดีและไม่ชันมากในช่วงที่ 5 – 7 นักท่องเที่ยวที่มา สามารถจอดรถ ที่จอดรถที่สามเพื่อเข้าน้ำตกชั้นที่ 4 ได้ทันที น้ำตกแม่สาเป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดปีโดยช่วงปลายฤดูฝนเป็นช่วงที่มีความสวยงามที่สุด

           เรื่องของลำน้ำ “แม่สา” มีเรื่องเล่ากันว่าจากต้นน้ำแม่สาไหลลงมาตามหุบเขาที่ราบ เมื่อไหลผ่านหมู่บ้านต่างๆในตำบลแม่ริมและตำบลโป่งแยง เนื่องด้วยลำน้ำที่ใสเย็น ทำให้หญิงสาวชอบลงเล่นน้ำอยู่เป็นนิจ จึงมีคนเรียกลำน้ำนี้ว่า “น้ำแม่สาว” ต่อมาจึงกลายเป็น “น้ำแม่สา” เนื่องด้วยพื้นที่ลำห้วยบริเวณลำห้วยแม่สามีสภาพเป็นธรรมชาติ จึงได้เริ่มจัดตั้งเป็นวนอุทยานก่อน และได้ถูกดูแลมาจนถึงปัจจุบัน

น้ำตกแม่สาชั้นที่ 1 ชื่อ น้ำตกผาลาด
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 2 ชื่อ น้ำตกวังยาว
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 3 ชื่อ น้ำตกผาแตก
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 4 ชื่อ น้ำตกวังสามหมื่น
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 5 ชื่อ น้ำตกวังท้าวพรหมมา
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 6 ชื่อ น้ำตกตาดเหมย
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 7 ชื่อ น้ำตกพนารมย์
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 8 ชื่อ น้ำตกผาเงิบ
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 9 ชื่อ น้ำตกวัดห่าง
น้ำตกแม่สาชั้นที่ 10 ชื่อ น้ำตกลานเท


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/น้ำตกแม่สา--4012

ดอยเชียงดาว


     ดอยเชียงดาว อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว มีจุดยอดสูงสุด เรียกว่า ดอยหลวงเชียงดาว (เพี้ยนมาจากคำที่ชาวบ้านในละแวกเปรียบเทียบดอยนี้ว่าสูง เพียงดาว) เป็นภูเขาหินปูนล้วน อายุระหว่าง 230-250 ล้านปี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย มีความสูง 2,195 เมตรจากระดับน้ำทะเล นับเป็นยอดดอยที่สูงอันดับ 3 ของประเทศรองจากดอยอินทนนท์และผ้าห่มปก
         จากที่ราบแคบๆ บนยอดดอย สามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามรอบด้านอย่าง ทะเลหมอกด้านอำเภอเชียงดาว ดอยสามพี่น้อง เทือกดอยเชียงดาว ตลอดจนถึงยอดดอยอินทนนท์อันไกลลิบ อย่างไรก็ตามดอยเชียงดาวไม่เหมาะที่จะขึ้นไปยืนบนยอดดอยทีละกลุ่มใหญ่ๆ เพราะอาจไปเหยียบย่ำทำลายพรรณไม้บนนั้นได้ 

         ดอยหลวงเชียงดาวเป็นหมู่หินราชบุรีของไทย เกิดจากการทับถมของตะกอนทะเล และซากสัตว์ที่มีหินปูน สันนิษฐานว่า พื้นที่ในบริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นท้องทะเลมาก่อนจากการตกตะกอนทับถมของซากสิ่งมีชีวิต เช่น ปะการังและหอย  เป็นภูเขาที่ไม่มี แหล่งเก็บน้ำ ไม่มีแหล่งน้ำธรรมชาติ ความพิเศษของที่นี่คือ มีพรรณไม้แบบที่เรียกกว่า “กึ่งอัลไพน์” แห่งเดียว ในไทย คือ พวกพุ่มไม้เตี้ย ๆ และไม้ล้มลุกเนื่องจากหน้าดินมีน้อย ไม่มีน้ำและอากาศเย็น เป็นพืชแบบแถบหิมาลัย แต่พัฒนาตนเองเป็นพืชเฉพาะถิ่น จึงมีดอกไม้สวย ๆ และพรรณไม้มากมายที่เราพบได้เฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้น เช่น ค้อเชียงดาว  สิงโตเชียงดาว สิงโตขนตาขาว สิงโตตาแดง  สิงโตเล็บเหยี่ยว อั้วปากฝอยเชียงดาว งูเขียวปากม่วง รองเท้านารีเมืองกาญจน์  เอื้องนางเทียน นอกจากนั้นยังมีพรรณไม้ที่โดดเด่นทั้งสวย และมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวอยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเทียนนกแก้วที่ให้ดอกเป็นรูปร่างเหมือนนกแก้ว ค้อเชียงดาวหรือปาล์มรักเมฆ ที่สามารถขึ้นได้ในสภาพหินปูนและอยู่ตามไหล่เขา  เหยื่อจงหรือเทียนหมอคา ซึ่งเป็นเทียนที่ใหญ่ที่สุด ชมพูพิมพ์ใจ และกุหลาบเลื้อยเชียงดาวหรือศรีจันทรา     นอกจากนี้ดอยหลวงเชียงดาวยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่หายากและใกล้สูญพันธุ์เช่น ผีเสื้อสมิงเชียงดาว ไก่ฟ้าหางลายขวาง กวางผาหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ”ม้าเทวดา” และเลียงผาเป็นต้น 

    
ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ดอยเชียงดาว--3987

ดอยอินทนนท์


      ดอยอินทนนท์ ได้ชื่อว่าเป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย ด้วยความสูง 2,565 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยซึ่งพาดผ่านจากประเทศเนปาล ภูฐาน พม่า และมาสิ้นสุดที่นี่ ดอยอินทนนท์มีสภาพภูมิประเทศและสภาพป่าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในฤดูหนาวจะมีหมอกปกคลุมเกือบทั้งวันและบางครั้งน้ำค้างยังกลายเป็นน้ำค้างแข็ง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้มีผู้มาเยือนที่นี่
      ดอยอินทนนท์เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้เชิงนิเวศวิทยาที่สำคัญ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน นักท่องเที่ยวจะได้เห็นป่าดิบเขาอันอุดมสมบูรณ์ และพื้นที่ป่าที่ถูกทำลาย เพื่อเห็นผลกระทบของการตัดไม้ทำลายป่า ระหว่างทางเดินจะเลาะริมผา มีทัศนียภาพสวยงามด้วยไอหมอก มีพันธุ์ไม้หายาก เช่น ดอกกุหลาบพันธุ์ปี อีกทั้งมีป้ายสื่อความหมายให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวตลอดทาง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง

      สำหรับกิจกรรมบนดอยอินทนนท์ ที่นี่เป็นแหล่งดูนกที่สำคัญของประเทศไทย มีนกกว่า 380 ชนิด ทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ ช่วงที่เหมาะสมกับการดูนกคือฤดูหนาว โดยทางอุทยานฯ มีศูนย์บริการข้อมูลนกอินทนนท์แก่นักท่องเที่ยวที่ร้านลุงแดง
   นอกจากนี้ดอยอินทนนท์เป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยโครงการหลวงดอยอินทนนท์ ที่นี่เป็นสถานีวิจัยดอกไม้เมืองหนาว มีโครงการศึกษาและรวบรวมพันธุ์เฟิร์น โครงการวิจัยกาแฟ โครงการวิจัยฝรั่งคั้นน้ำ นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินไปสีสันของพรรณไม้เมืองหนาวนานาชนิด พร้อมทั้งชมทัศนียภาพของนาข้าวขั้นบันได ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวเขาเผากะเหรี่ยง และวิถีชีวิตของชาวเขาเผ่าต่างๆ รวมทั้งเป็นที่ตั้งพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ที่สร้างถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นสถาปัตยกรรมอันงดงามท่ามกลางทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์--153

ดอยอ่างขาง


      ดอยอ่างขาง ตั้งอยู่บนทิวเขาแดนลาว ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,400 เมตร และมียอดดอยสูงถึง 1,928 เมตร อากาศบนดอยอ่างขางจะหนาวเย็นตลอดปีโดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมอากาศจะหนาวเย็นมากจนน้ำค้างกลายเป็นน้ำค้างแข็ง มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย

   สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง สถานีฯเกิดขึ้นเมื่อพ.ศ. 2512 ครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จทางเฮลิคอปเตอร์ผ่านยอดดอยแห่งนี้และทอดพระเนตรลงมาเห็นหลังคาบ้านคนอยู่กันเป็นหมู่บ้าน จึงมีพระดำรัสสั่งให้เครื่องลงจอด เมื่อเสด็จพระราชดำเนินลงมาทอดพระเนตรเห็นทุ่งดอกฝิ่น และหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอซึ่งในสมัยนั้นยังไว้แกละถักเปียยาว แต่งกายสีดำ สะพายดาบ พระองค์มีพระราชดำรัสที่จะแปลงทุ่งฝิ่นให้เป็นแปลงเกษตร  และสร้างโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ พืชน้ำมัน เพื่อส่งเสริมพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมแก่ชาวเขาเผ่ามูเซอและชาวเขาในบริเวณใกล้เคียง นักท่องเที่ยวสามารถชมแปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว พืชผักเมืองหนาวและแปลงไม้ดอกที่สวยงาม เช่น ท้อ บ๊วย พลัม สตรอเบอร์รี่ สาลี่ ราสเบอรี่ ลูกพลับ    กีวี  ลูกไหน แครอท ผักสลัดต่าง ๆ ดอกคาร์เนชั่น กุหลาบ แอสเตอร์ เบญจมาศ เป็นต้น

  สวนบอนไซ อยู่ในบริเวณสถานีฯ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ไม้เขตอบอุ่นและเขตหนาวทั้งในและต่างประเทศที่ปลูก ดัด แต่ง โดยใช้เทคนิคบอนไซอย่างสวยงามน่าชม และในบริเวณเดียวกันยังมีสวนสมุนไพร ควรมาท่องเที่ยวในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มกราคม ใกล้กับสถานีจะมีหมู่บ้านคุ้มตั้งอยู่ เป็นชุมชนเล็ก ๆ ประกอบด้วยผู้อยู่อาศัยหลายเชื้อชาติอยู่รวมกัน  อาทิ ชาวไทยใหญ่ ชาวพม่าและชาวจีนฮ่อ ซึ่งได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้และเปิดร้านค้าบริการแก่นักท่องเที่ยว 
จุดชมวิวกิ่วลม อยู่ทางด้านซ้ายมือก่อนถึงทางแยกซึ่งจะไปหมู่บ้านปะหล่องนอแลทางหนึ่ง และบ้านมูเซอขอบด้งทางหนึ่ง สามารถชมทะเลหมอกและวิวพระอาทิตย์ทั้งขึ้นและตก มองเห็นทิวเขารอบด้านและหากฟ้าเปิดจะมองเห็นสถานีเกษตรหลวงอ่างขางด้วย

        หมู่บ้านนอแล ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า คนที่นี่เป็นชาวเขาเผ่าปะหล่องเชื้อสายพม่า มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง นับถือศาสนาพุทธ รอบๆสามารถมองเห็นทิวทัศน์สวยงามของธรรมชาติบริเวณพรมแดนไทย-พม่าจากหมู่บ้านนี้ได้
   หมู่บ้านขอบด้ง เป็นที่อยู่ของชาวเขาเผ่ามูเซอดำและเผ่ามูเซอแดง ผู้คนนับถือผี มีวัฒนธรรมและความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ที่นี่ได้รับการส่งเสริมจากโครงการหลวงในด้านการเกษตรและด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน (เช่น อาบูแค เป็นกำไลถักด้วยหญ้าไข่เหามีสีสันและลวดลายแบบมูเซอ) และมีการจำลองบ้านและวิถีชีวิตของชาวมูเซอ และโครงการมัคคุเทศก์น้อยโดยชาวบ้าน ครู และนักเรียนโรงเรียนบ้านขอบด้ง


ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรม/รายละเอียดสถานที่ท่องเที่ยว/ดอยอ่างขาง--6050